ขวดพลาสติกใสๆมีภัยจริงหรือ?

จากบทความของ รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ เรื่องเกี่ยวกับการใช้ขวดพลาสติก กล่าวไว้ว่า
ในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมากมายที่แชร์ต่ๆกันมา ว่ากันว่าการกินน้ำบรรจุขวดทำให้เป็นหมันถ้าปล่อยทิ้งไว้ในรถยนต์ หรืออย่างกรณีทิ้งขวดพลาสติกใสที่ใส่น้ำดื่มบรรจุขวดลงแม่น้ำลำคลองอาจทำให้ปลากลายเป็น "ตุ๊ด" ได้ เพราะสารที่เป็นองค์ประกอบในพลาสติดหลุดลงแม่น้ำเมื่อปลากินสารนั้นไปจะทำให้มันกลายเพศได้ หรือในกรณีที่เคยมีพิธีกรข่าวพญากรณ์อากาศของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้ให้ความรู้นอกเหนือไปจากการพยากรณ์อากาศว่า การบรรจุน้ำในขวดพลาสติกที่เคยใช้แล้วและเอามาบรรจุน้ำไปแช่ในช่องฟรีซ สารในกลุ่มไดออกซินจะหลุดออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่ม
สารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเหตูการณ์ข้างต้น คือ บิสฟีนอล เอ (Bisphenol A) ซึ่งเป็นสารป้องการการออกซิไดส์ (สารป้องกันการเสื่อมสภาพของสาร) ในพลาสติไซเซอร์ (plasticizer) ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ คือ กลุ่มที่มี recycle code เบอร์ 3 คือ พีวีซี (PVC) ชนิดแผ่นอ่อน (ไม่เกี่ยวกับท่อพีวีซี) ซึ่งใช้ห่ออาหาร และที่มี recycle code เบอร์ 7 คือ โพลีคาร์บอเนต โดยสารบิสฟีนอลเอนั้นมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตเจน) ตัวอย่างเช่นการนำมาทำขวดนมทารก ตัวเลขเหล่านี้ดูได้ที่ก้นขวดพลาสติกต่างๆ ซึ่งจะเห็นพร้อมเครื่องหมาย recycle

ที่น่าตะลึงก็คือ ข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เผยแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ตมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งนั้นคือ สารไดออกซินนั้นมีฤทธิ์ก่อมะเร็งและทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์มีความผิดปกติ พอมีข่าวว่าสารพิษนี้หลุดออกมาจากขวดพลาดสติกใส คนที่กำลังตั้งท้องก็กังวลว่าช่วงที่ให้นมแม่จะใช้ขวดอะไรใส่นมลูกดี ไดออกซินมักเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสารเคมีที่มีคลอรีนเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังตัวอย่างการผลิตสารกำจัดวัชพืช 2,4D และ 2,4,5-T ซึ่งใช้สารประกอบของคลอรีนเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในขณะที่ขวดพลาสติกใสที่เรียกว่าขวด PET ไม่ได้มีคลอรีนร่วมในการผลิต โอกาศเกิดไดออกซินจึงไม่น่าเป็นไปได้ ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับขวดพลาสติกในรายการพยากรณ์อากาศที่กล่าวถึงนั้น จึงเป็นการเอาข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมารายงานโดยไม่สอบถามจากนักวิชาการว่าจริง
ผู้บริโภคข่าวมักสับสนว่าขวดพลาสติกใสหนือขวด PET (Polyethylene terephthalate) ที่ใช้บรรจุเครื่องดื่มหรือน้ำดื่มอาจมีสารบิสฟีนอลเอหลุดออกมา ความสงสัยนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะขวดที่เป็นจำเลยนั้นทำมาจากพลาสติกใสที่เรียกกันว่าโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) ซึ่งมีความใสและแข็งกว่า ที่สำคัญคือ แพงกว่า ท่านผู้อ่านอาจสัมผัสบอสฟีนอลเอได้โดยไม่รู้ตัวจากโพลีไวนิลคอลไรด์ ซึ่งใช้ผลิตแผ่นพลาสติกใสสำหรับห่ออาหารหรือที่เรียกว่า แรบพ์ (wrap) ชาวไทยหลายคนได้มีประสบการณ์การสัมผัสแผ่นพีวีซีที่ห่อหุ้มแซนด์วิชต่างๆ โดยไม่ค่อยทราบว่าถ้านำเอาแซนด์วิชที่มีแผ่นพลาสติกห่อหุ้มอาหารอยู่นั้นไปอุ่นให้ร้อนด้วยไม่โครเวฟ มีโอกาศที่บิสฟีนอลเอและโมโนไวนิลคลอไรด์ที่ติดอยู่ในแผ่นพลาสติกสามารถหลุดออกมาปนเปื้อนอาหารได้ ถึงแม้ว่าองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration) และศูนย์พิษวิทยาแห่งชาติ (National Toxicology Program) ได้เคยสรุปแล้วว่าบิสฟีนอลเอที่หลุดออกมาจากภาชนะพลาสติกไม่ก่อปัญหาด้านสุขภาพ (เพราะน้อยมาก) แต่ความเห็นนี้แต่งต่างจากความเห็นของหน่วยงานด้านสุขภาพในแคนาดาที่มองว่าอาจเกิดปัญหาต่อตัวอ่อนในท้องแม่ที่ได้รับสารดังกล่าวได้ เพราะสารนี้มีฤทธิ์และจะมีคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ ซึ่งนักพิษวิทยาส่วนใหญ่ตระหนักในความน่ากลัวของสารกลุ่มนี้
จากการวิจัยในหลายๆหน่วยงาน ก็ยังไม่ยืนยันในเรื่องสารบิสฟีนอลเอ ภาชนะพลาสติกใสที่ทนร้อนได้ท่านคงต้องยอมเสี่ยงที่จะรับสารดังกล่าวบ้าง มันอาจไม่เลวร้ายนัก เช่นในรายของขวดนมเวลาล้างขวดนมพลาสติกด้วยการต้ม น้ำที่ใช้ต้มเราก็เททิ้งไป แต่ยังไม่มีใครรับประกันว่ามีบิสฟีนอลเอติด อยู่กับผนังขวดหรือไม่ ดังนั้น หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐมินนิโซตาและคอนเน็ตทิคัตของสหรัฐอเมริกา จึงได้เริ่มห้ามการจำหน่ายภาชนะพลาสติกที่มีบิสฟีนอลเอเป็นส่วนผสม และอย่างน้อยผู้ผลิตภาชนะพลาสติกรายใหญ่ 5 รายในสหรัฐอเมริกา ได้หยุดการผลิตหรือเพิ่มทางเลือกในการผลิตภาชนะพลาสติกประเภทอื่น ที่ไม่มีบิสฟีนอลเอให้กับผู้บริโภคแล้ว ตัวอย่างเช่น มีข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า บริษัท Nalgene ซึ่งผลิตขวดพลาสติกคุณภาพสูงหลายชนิด ที่ใช้ทั้งในห้องปฏิบัติการเคมี และใช้เป็นขวดบรรจุน้ำและอาหาร ได้แนะนำผู้บริโภคว่า ถ้าไม่แน่ใจในการใช้ขวดพลาสติกใสทนร้อนชนิดโพลีคาร์บอเนต ก็ขอเชิญให้หันกลับไปใช้ขวดพลาสติกขุ่น ที่บริษัทเองก็ผลิตขายแทนได้เช่นกัน เพื่อความสบายใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ข้อมูลดังกล่าวนี้ได้มากจาก เว็บไซต์ www.ecopledge.com
ผู้เขียนบทความได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องความกังวลของขวดนมไว้ว่า "ดังนั้นน่าจะถึงเวลาหันกลับไปใช้ขวดนมแก้วได้แล้ว หรือถ้าจะให้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แก่ลูกน้อย นมจากเต้านั้นแหละดีที่สุดครับ"
เรียบเรียงจาก นิตยสาร HealtToday ฉบับที่ 156 เมษายน 2014 และ greenworld.or.th