คลิ๊กดูภาพใหญ่

วิธีการ

1. เข้าไปที่ การตั้งต่า หรือ https://www.facebook.com/settings?tab=videos

2. เลือกเมนูด้านซ้าย วีดีโอ

3. ในหน้าการคั้งค่าวิดีโอ จะมีตัวเลือก เล่นวิดีโออัตโนมัติ (บาง account จะไม่มีเมนูย่อยนี้ ซึ่งมันก็ไม่เล่นอัตโนมัตให้อยู่แล้ว) เลือกตัวเลือก เป็น "ปิด" ซะ

4. วิดีโอก็จะไม่เล่นอัตโนมัติแล้ว


คู่มือการบวช

โดย

นางนฤดี น้อยศิริ ตำแหน่งนักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ

กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

download


พาราเซตามอล กินพร่ำเพรื่ออันตรายถึง "ตาย"

พาราเซตามอลเป็นยาบรรเทาปวด ลดไข้ ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เป็นยาที่สามารถทำให้เกิดอันตรายง่ายหากรับยาเกินขนาด หรือการใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น รวมถึงตรวจสอบว่ายาตัวอื่นที่รับประทานร่วมด้วยมีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบหรือไม่ หากมีก็ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาเภสัชในร้านยาใกล้บ้านท่านเพื่อขอรับคำแนะนำก่อนใช้ยา

พาราเซตามอล

ยาแก้ปวด ลดไข้ พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) นั้น ในประเทศไทยได้ถูกบรรจุให้เป็นยาในบัญชีหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2556 และฉบับอื่นๆที่เคยประกาศมาแล้วในอดีต รวมถึงถูกจัดให้เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ประชาชนสามารถซื้อได้ทั่วไป เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น แต่สิ่งที่ควรตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมากคือ การใช้ยาบ่อยและพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น หรือการใช้ยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบมากกว่า 1 รายการ ในการรับประทานยาครั้งเดียวกันจะส่งผลทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

พารา-อะเซทิลอะมิโนฟีนอล (Para-acetylaminophenol) เป็นชื่อทางเคมีของยา "พาราเซตามอล (Para-acetylaminophenol ย่อเป็น Paracetamol)" ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกโดยทั่วไป แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และญี่ปุ่น จะนิยมเรียกว่า "อะเซตามิโนเฟน (Para-acetylaminophenol = acetaminophen)"

ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการรวบรวมสถิติของการเกิดพิษจากยาอะเซตามิโนเฟน(พาราเซตามอล) พบว่ามีแนวโน้มที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ยต่อปีจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 458 คน ทั้งนี้สาเหตุมักเกิดจากการใช้ยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบมากกว่า 1 รายการ ในการรับประทานยาครั้งเดียว ตัวอย่างที่มักจะมีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบเช่น ยาบรรเทาอาการปวด/ลดไข้ ยาเพื่อบรรเทาอาการปวดอักเสบของกล้ามเนื้อ/ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาที่ใช้รักษาอาการหวัด/ภูมิแพ้บางชนิด เป็นต้น

การใช้ยาบ่อยและพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น

อาการพิษจากการได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาดจะไม่ได้ส่งผลในทันทีที่ได้รับยาเกินขนาด แต่ความเป็นพิษจะค่อยๆเกิดขึ้นช้าๆจนส่งผลให้เกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน (Acute hepatic failure) กรณีที่ได้รับยาในขนาดที่ทำให้เสียชีวิตได้ ก็จะยังคงไม่เสียชีวิตในทันทีทันใดเช่นกัน แต่จะค่อยๆเกิดการทำลายของตับอย่างช้าๆและเสียชีวิตลงประมาณ 3-5 วัน

การได้รับยาแก้แก้พิษ (Antidone) เพื่อช่วยชีวิตให้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยาแก้พิษจากยาพาราเซตามอล คือ เอ็น-อะเซทิลซีสเทอีน (N-acetylcystein : NAC) โดยสารตัวนี้จะไปช่วยร่างกายในการสร้างสารที่จะมายับยั้งการทำลายตับจากพิษของยาพาราเซตามอล ซึ่งสารตัวนี้โดยปกติจะสร้างได้จากตับในปริมาณที่จำกัด จึงเป็นเหตุผลที่มาของการจำกัดปริมาณของยาพาราเซตามอลที่ได้รับต่อวันไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม หรือหากเทียบเป็นยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ดก็จะเท่ากับ 8 เม็ดเท่านั้น

ส่งผลทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

แต่ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้ใช้ยาเป็นโรคตับหรือเป็นผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำขนาดรับประทานสูงสุดต่อวันก็จะลดน้อยลงกว่านี้อีก เพราะร่างกายจะสร้างสารที่ต้านพิษจากยาพาราเซตามอลนี้ได้น้อยลง

ขนาดของยาพาราเซตามอลชนิดรับประทานคือ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นขนาดของยาพาราเซตามอลในผู้มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม คือ 500-700 มิลลิกรัม หากเทียบกับยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด ก็จะเท่ากับหนึ่งเม็ดถึงหนึ่งเม็ดครึ่งเท่านั้น


ข้อมูลจาก: อย.Report ปีที่ 5 ฉบับที่ 56 ประจำเดือนพฤษภาคม 2557

ภาพประกอบค้นหาจาก google



จากบทความของ รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ นักพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ เรื่องเกี่ยวกับการใช้ขวดพลาสติก กล่าวไว้ว่า

ในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมากมายที่แชร์ต่ๆกันมา ว่ากันว่าการกินน้ำบรรจุขวดทำให้เป็นหมันถ้าปล่อยทิ้งไว้ในรถยนต์ หรืออย่างกรณีทิ้งขวดพลาสติกใสที่ใส่น้ำดื่มบรรจุขวดลงแม่น้ำลำคลองอาจทำให้ปลากลายเป็น "ตุ๊ด" ได้ เพราะสารที่เป็นองค์ประกอบในพลาสติดหลุดลงแม่น้ำเมื่อปลากินสารนั้นไปจะทำให้มันกลายเพศได้ หรือในกรณีที่เคยมีพิธีกรข่าวพญากรณ์อากาศของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้ให้ความรู้นอกเหนือไปจากการพยากรณ์อากาศว่า การบรรจุน้ำในขวดพลาสติกที่เคยใช้แล้วและเอามาบรรจุน้ำไปแช่ในช่องฟรีซ สารในกลุ่มไดออกซินจะหลุดออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่ม

สารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเหตูการณ์ข้างต้น คือ บิสฟีนอล เอ (Bisphenol A) ซึ่งเป็นสารป้องการการออกซิไดส์ (สารป้องกันการเสื่อมสภาพของสาร) ในพลาสติไซเซอร์ (plasticizer) ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ คือ กลุ่มที่มี recycle code เบอร์ 3 คือ พีวีซี (PVC) ชนิดแผ่นอ่อน (ไม่เกี่ยวกับท่อพีวีซี) ซึ่งใช้ห่ออาหาร และที่มี recycle code เบอร์ 7 คือ โพลีคาร์บอเนต โดยสารบิสฟีนอลเอนั้นมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตเจน) ตัวอย่างเช่นการนำมาทำขวดนมทารก ตัวเลขเหล่านี้ดูได้ที่ก้นขวดพลาสติกต่างๆ ซึ่งจะเห็นพร้อมเครื่องหมาย recycle

ที่น่าตะลึงก็คือ ข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เผยแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ตมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งนั้นคือ สารไดออกซินนั้นมีฤทธิ์ก่อมะเร็งและทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์มีความผิดปกติ พอมีข่าวว่าสารพิษนี้หลุดออกมาจากขวดพลาดสติกใส คนที่กำลังตั้งท้องก็กังวลว่าช่วงที่ให้นมแม่จะใช้ขวดอะไรใส่นมลูกดี ไดออกซินมักเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสารเคมีที่มีคลอรีนเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังตัวอย่างการผลิตสารกำจัดวัชพืช 2,4D และ 2,4,5-T ซึ่งใช้สารประกอบของคลอรีนเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในขณะที่ขวดพลาสติกใสที่เรียกว่าขวด PET ไม่ได้มีคลอรีนร่วมในการผลิต โอกาศเกิดไดออกซินจึงไม่น่าเป็นไปได้ ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับขวดพลาสติกในรายการพยากรณ์อากาศที่กล่าวถึงนั้น จึงเป็นการเอาข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมารายงานโดยไม่สอบถามจากนักวิชาการว่าจริง

ผู้บริโภคข่าวมักสับสนว่าขวดพลาสติกใสหนือขวด PET (Polyethylene terephthalate) ที่ใช้บรรจุเครื่องดื่มหรือน้ำดื่มอาจมีสารบิสฟีนอลเอหลุดออกมา ความสงสัยนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะขวดที่เป็นจำเลยนั้นทำมาจากพลาสติกใสที่เรียกกันว่าโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) ซึ่งมีความใสและแข็งกว่า ที่สำคัญคือ แพงกว่า ท่านผู้อ่านอาจสัมผัสบอสฟีนอลเอได้โดยไม่รู้ตัวจากโพลีไวนิลคอลไรด์ ซึ่งใช้ผลิตแผ่นพลาสติกใสสำหรับห่ออาหารหรือที่เรียกว่า แรบพ์ (wrap) ชาวไทยหลายคนได้มีประสบการณ์การสัมผัสแผ่นพีวีซีที่ห่อหุ้มแซนด์วิชต่างๆ โดยไม่ค่อยทราบว่าถ้านำเอาแซนด์วิชที่มีแผ่นพลาสติกห่อหุ้มอาหารอยู่นั้นไปอุ่นให้ร้อนด้วยไม่โครเวฟ มีโอกาศที่บิสฟีนอลเอและโมโนไวนิลคลอไรด์ที่ติดอยู่ในแผ่นพลาสติกสามารถหลุดออกมาปนเปื้อนอาหารได้ ถึงแม้ว่าองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration) และศูนย์พิษวิทยาแห่งชาติ (National Toxicology Program) ได้เคยสรุปแล้วว่าบิสฟีนอลเอที่หลุดออกมาจากภาชนะพลาสติกไม่ก่อปัญหาด้านสุขภาพ (เพราะน้อยมาก) แต่ความเห็นนี้แต่งต่างจากความเห็นของหน่วยงานด้านสุขภาพในแคนาดาที่มองว่าอาจเกิดปัญหาต่อตัวอ่อนในท้องแม่ที่ได้รับสารดังกล่าวได้ เพราะสารนี้มีฤทธิ์และจะมีคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ ซึ่งนักพิษวิทยาส่วนใหญ่ตระหนักในความน่ากลัวของสารกลุ่มนี้

จากการวิจัยในหลายๆหน่วยงาน ก็ยังไม่ยืนยันในเรื่องสารบิสฟีนอลเอ ภาชนะพลาสติกใสที่ทนร้อนได้ท่านคงต้องยอมเสี่ยงที่จะรับสารดังกล่าวบ้าง มันอาจไม่เลวร้ายนัก เช่นในรายของขวดนมเวลาล้างขวดนมพลาสติกด้วยการต้ม น้ำที่ใช้ต้มเราก็เททิ้งไป แต่ยังไม่มีใครรับประกันว่ามีบิสฟีนอลเอติด อยู่กับผนังขวดหรือไม่ ดังนั้น หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐมินนิโซตาและคอนเน็ตทิคัตของสหรัฐอเมริกา จึงได้เริ่มห้ามการจำหน่ายภาชนะพลาสติกที่มีบิสฟีนอลเอเป็นส่วนผสม และอย่างน้อยผู้ผลิตภาชนะพลาสติกรายใหญ่ 5 รายในสหรัฐอเมริกา ได้หยุดการผลิตหรือเพิ่มทางเลือกในการผลิตภาชนะพลาสติกประเภทอื่น ที่ไม่มีบิสฟีนอลเอให้กับผู้บริโภคแล้ว ตัวอย่างเช่น มีข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า บริษัท Nalgene ซึ่งผลิตขวดพลาสติกคุณภาพสูงหลายชนิด ที่ใช้ทั้งในห้องปฏิบัติการเคมี และใช้เป็นขวดบรรจุน้ำและอาหาร ได้แนะนำผู้บริโภคว่า ถ้าไม่แน่ใจในการใช้ขวดพลาสติกใสทนร้อนชนิดโพลีคาร์บอเนต ก็ขอเชิญให้หันกลับไปใช้ขวดพลาสติกขุ่น ที่บริษัทเองก็ผลิตขายแทนได้เช่นกัน เพื่อความสบายใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ข้อมูลดังกล่าวนี้ได้มากจาก เว็บไซต์ www.ecopledge.com

ผู้เขียนบทความได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องความกังวลของขวดนมไว้ว่า "ดังนั้นน่าจะถึงเวลาหันกลับไปใช้ขวดนมแก้วได้แล้ว หรือถ้าจะให้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แก่ลูกน้อย นมจากเต้านั้นแหละดีที่สุดครับ"

เรียบเรียงจาก นิตยสาร HealtToday ฉบับที่ 156 เมษายน 2014 และ greenworld.or.th



วันอาทิตย์

อาหารคาว : ประเภทไข่ ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ไข่ต้ม แกงกะทิ

อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ

ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู

ไหว้พระ : ปางถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ สวด 6 จบ)

ทำทาน : กับคนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาลโรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด

พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น



วันจันทร์

อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่น ไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอด ปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหู้ทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด

อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ

ของถวายพระ : แก้ว แจกัน ของโปร่งๆใสๆ

ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 15 (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา สวด 15 จบ)

ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี

พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลจนเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือแก่สตรี เช่น ลุกให้ที่นั่งบนรถเมล์ หมั่นบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง


วันอังคาร

อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปล่ช่อนตากแห้งทอด

อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปรท์ น้ำอัดลม

ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล้ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ

ไหว้พระ : ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง สวด 8 จบ)

ทำทาน : คนพิการปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก

พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน ละเว้นการชิงดีชิงเด่น


วันพุธกลางวัน

อาหารคาว : เน้นสีเขียว-หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู คะน้าน้ำมันหอย

อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว

ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา

ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อ ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท สวด 17 จบ)

ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก

พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธกลางคืน

อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก

อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน

ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม

ไหว้พระ : ปางปาลิไลยก์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ สวด 12 จบ)

ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด

พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด


วันพฤหัสบดี

อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า

อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้

ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา

ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 19 (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ สวด 19 จบ)

ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว

พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล 5 ระวังตน อย่าพาซื่อจนเกินไป


วันศุกร์

อาหารคาว : ประเภทของหอมหวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียว หอมใหญ่ ยำหัวหอม

อาหารหวาน : ขนมหวานหอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก

ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม

ไหว้พระ : ปางรำพึง (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ วา สวด 21 จบ)

ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม

พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

วันเสาร์

อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำ มะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว

อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง

ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายพระ

ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ สวด 10 จบ)

ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลประสาท

พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม

ข้อมูลจาก "แก้กรรม! ทำเองได้ เรียบเรียง: จิตศรัทธา พุทธานุภาพ" ที่ระลึกงานฌาปนกิจศพ ด.ต.ธวัชชัย บรรพต 26 ตุลาคม


Sitemap Tudsinjai.com

หลังจากตอนที่แล้วได้ดำเนินการตัด keywords หลักจำนวน 90 คำ ที่มีอยู่ในทุกๆหน้า ... สิ่งที่ทำต่อมาคือ ใช้บริการ AdWords ด้วยคำหลักชุดหนึ่ง ผ่านไป 2 วันก็ยังไม่ดีขึ้น ยอดจำนวนคนเข้า 2 วันต่อมาแค่ 38 และ 32 ตามลำดับ เริ่มจะกลุ้มแหระมันเกิดอะไรขึ้นหว่า ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์ไปทั่วหาวิธีการแก้ไขก็ไม่มีวิธีการใดจะแก้ แม้แต่ข้อมูลสาเหตุก็ยังไม่กระจ้าง


พอดี้พอดีไปเจอโปรแกรมสร้าง sitemap ของเว็บไซต์ก็เลยทำๆไป แล้วส่ง update อีกครั้ง (เคยส่งให้ google ไปแล้วแต่ไม่ได้ update) ส่งไปคืนของวันที่ 8 กันยายน 2556 ตืนเช้ามาของวันที่ 9 ก็ยังปกติจนจบวัน ได้ยอดคนเข้า 46 ราย งงเหมือนกันแฮะถ้ามันค่อยๆขึ้นก็คงจะไม่งงขนาดนี้ ... นอนหลับฝันดีดีกว่าพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว Zzzzzzzz


เช้าวันที่ 10 ขอดูยอดอีกที 40 ราย ณ เวลา 10 นาฬิกา ยอด 40 คน ดูครั้งแรกนึกว่าเป็นของเหมือนวานแต่ดูอีกทีมันวันนี้นี่หว่า โอ....ยอดมันขึ้นแฮะ จบวันยอดทะลุไปที่ 285 ผ่านไป 3 วันทะลุไปที่ 330 ต่อไปอีก 2 วันยอดไป 466 เห็นกราฟแล้วมันชันมากจนหวั่นๆกลัวว่ามันจะทำพิษอีกรอบ ^_________________________________^

นรกมาเยือนจริงๆ ยอดคนเข้ารายชั่วโมงเข้าก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 18 กันยายน คือ 24 ราย .... 10 โมงแล้ว ยอดยังไม่ถึงรายชั่วโมงของเมื่อคืนเลย จบวัน ยอดตกไปเหลือ 110 ผ่านเข้าวันที่ 3 แล้วยอดมาหยุดแค่ 100 ต้นๆเล็กน้อย

คงต้องทำใจแล้ว ก้มหน้าก้มตาทำไป Update เพิ่มเติมข้อมูลเข้าเว็บ, Update Sitemap ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล หวังว่ามันจะกลับมาใหม่แต่ไม่ต้องแรงแบบนี้นะ ค่อยๆไต่ก็ได้ไม่รีบ

จากที่ได้ดำเนินการมาเข้าใจว่า Google มันงอน มันคงชอบบทความใหม่ มีข้อมูลใหม่ๆทุกวัน ไอ้เรามันก็ Update ตามเวลาที่ว่างถี่บ้าง ห่างบ้าง

TrueHits Tudsinjai.com

... ตอนที่แล้ว ตอนที่ 1


ทำเว็บมาตั้งแต่ 2542 เรียนรู้มาด้วยตนเองตลอด ต่อสู้การไต่อันดับของ Search Engine จากเว็บแรกมียอด UIP กว่า 5,000 คนต่อวัน ติดอันดับ Yahoo, Google ไม่เกิน 3 หน้า บางคำค้นหาติดหน้าแรกอันดับที่ 1 ... เว็บล่าสุดที่ดำเนินการ ก็ไต่อันดับยอด UIP จากคนเข้าแค่ 30 คน มาเกิน 100 ทุกวัน และไล่ไต่มาแต่ที่ยอด 200 คน ตามสถิติเว็บจัดอันดับที่น่าเชื่อถือของประเทศไทย คือ http://truehits.net กำลังจะไปได้สวยเลย แต่จู่ๆก็ลดพรวดลงคือเหลือแค่ประมาณ 40 คนต่อวันและดูเหมือนจะลดลงไปเรื่อยๆ

มึนตึบ


สอบถามตรวจเช็คทุกอย่าง ก็ปกติเว็บไม่ล่ม เน็ต True,TOT,3BB ก็ไม่ล่ม

สอบถามผู้ให้บริการ Host ตรวจสอบก็ปกติ

งงๆๆๆๆๆ มึนตึบเกิดจากอะไรกันว่ะเนี่ย


สงสัยในอันดับแรกเลยว่า google แน่ๆ เพราะเข้าไปดูสถิติคำค้น และ refer ที่ส่งมา google มันหายไป คำค้นเดิมๆที่มีเข้ามาทุกวันก็หายไป เหมือนมันค้นไม่เจอ ทดสอบเลยคำนี้ "ยาเขียวตราใบโพธิ์"


google analytics

Google ตกไปอยู่หน้่ที่ 11

Bing หน้าแรกลำดับที่ 2

Yahoo หน้าแรกลำดับที่ 2

AOL ตกไปอยู่หน้่ที่ 12 ซึ่ง AOL ปรับปรุงโดย Google .... สนับสนุนแนวคิดเป็นอย่างมากเลย

ฟันธงเป็นที่ Google แน่ๆ โดนแบนเหรอ ตรวจสอบแล้วตามคำแนะนำในหลายๆเว็บ ค้นหายังมีเว็บเราอยู่ แสดงว่าไม่โดนแบน

เข้าไปดูที่ Google Analytics ก็ไม่มีคำเตือน แต่กราฟยอดมันทิ่ใหัวลงเลย

เข้าไปตรวจสอบที่ Google AdSense ก็ไม่มีคำเตือนอะไร

ค้นหาต่อไป..... ไปเจอข้อมูลเว็บๆหนึ่ง http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=272917.0;imode เหมือนว่าจะโดนลักษณะเดียวกัน

แต่อ่านแล้วก็ยังงงๆ มีสิ่งเดียวที่ผมทำคือ ในทุกๆหน้าจะมี keywords หลักอยู่ชุดหนึ่ง 90 คำ แล้วจะเพิ่ม keywords ตามข้อมูลในหน้านั้นๆอีก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า แต่ก็จะแก้ไขตัด keywords หลักทิ้งไป ให้เหลือแต่คีย์ในแต่ละหน้าแทน หวังว่าทุกอย่างจะกลับมาอีกครั้ง .....

สถิติเดือน สิงหาคม

สถิติเดือน กันยายน


... อ่านต่อตอนที่ 2


ใบบัวบกหรือบัวบก


ใบบัวบก

ใบบัวบก หรือ บัวบก (Gotu kola) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica (L.) Urban. และมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อย่างภาคใต้จะเรียกว่า ?ผักแว่น? ส่วนภาคเหนือจะเรียกว่า ?ผักหนอก? จำปาเครือ กะบังนอก, ผักหมอกช้าง ผักแว่น (จันทบุรี, ภาคใต้) เป็นต้น จัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดในแถบเอเชีย เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีกลิ่นฉุน มีรสขมหวาน

ส่วน ภาษาจีน "บัวบก" เรียก จิเสวี่ยเฉ่า หมายถึง หญ้าหรือสมุนไพร ที่เสมือนมีหิมะสะสมตัวอยู่ คือฤทธิ์เย็นมาก สามารถขับพิษร้อน การอักเสบทั้งหลาย"

เมื่อพูดถึงใบบัวบก อาจทำให้ทุกคนมักจะนึกถึง คนอาการช้ำใน อกหัก รักคุด ที่มักจะใช้สรรพคุณ แก้อาการ....แต่ ประโยชน์ของใบบัวบก มีมากกว่า....จนคาดไม่ถึงกันเลย อย่างเช่น น้อยคนนักที่อาจจะไม่รู้ว่า "ใบบัวบก มีสรรพคุณในการ บำรุงสมอง ไม่แพ้ แปะก๊วย" ที่นิยมทานกันเลยทีเดียว มีส่วนช่วยบำรุงสมอง ใช้ได้ทุกเพศทุก ทุกวัยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และคนชรา ซึ่งขึ้นตามธรรมชาติพบเห็นโดยทั่วไป หรือสามารถปลูกไว้เป็นพืชสวนครัวก็ได้

สารประกอบสำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก เช่น บราโมซัยด์ บรามิโนซัยด์ ไตรเตอพีนอยด์ มาดิแคสโซซัยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ และยังมี กรดมาดิแคสซิค วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 วิตามินเอ วิตามินเค ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม และ กรดอะมิโน อย่าง แอสพาเรต กรดกลูตามิก เซรีน ทรีโอนีน อะลานีน ไลซีน ฮีสทีดิน เป็นต้น

สรรพคุณ สามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสียหรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นยาบำรุงกำลัง ยาอายุวัฒนะ บำรุงผม บำรุงเอ็น มีฤทธิ์กล่อมประสาท บำรุงสมอง ช่วยความจำ ลดความอ่อนล้าของสมอง เป็นต้น

ฤทธิ์ ที่ได้รับจากการใช้ใบบัวบก ใช้ในการสมานแผลและลดการอักเสบทำให้แผลหายเร็ว ใบและต้นสดตำคั้นน้ำพอก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลฝีหนองยับยั้งการแข่งตัวของเซลล์มะเร็ง ชนิด Ehnlich ascites และ Dalton's Lymyhoma ascites เจ็บอกแก้ช้ำใน พกซ้ำ และบำรุงกำลัง เป็นต้น

ประโยชน์ที่ได้รับ จาก ใบบัวบก นอกจากจะช่วยในเรื่องการรักษาโรคแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในการบำรุง รักษาผิว และ สิว ได้อีก เช่น

1. ใบบัวบก ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ย้อนอายุและวัย และ สรรพคุณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

2. ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

3. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย

4. ประโยชน์ของใบบัวบก ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ฟื้นฟูรอบดวงตา เพราะบัวบกมีวิตามินเอสูง

5. ช่วยเสริมการทำงานของ กาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลของจิตใจ จึงช่วยผ่อนคลายและทำให้หลับง่ายขึ้น และ

ช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

6. ประโยชน์ของใบบัวบกช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

7. ช่วยทำให้จิตใจสดชื่น อารมณ์แจ่มใส และ ช่วยทำให้หน้าตาสดใส เหมือนเป็นวัยรุ่น

8. ช่วยสมานแผล และ ลดอาการอักเสบจากแผลได้ดี

9. ลบรอยตีนกาตื้นๆ ด้วยน้ำใบบัวบก ด้วยการนำบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาด นำไปปั่นจนละเอียด แล้วนำน้ำที่ได้มาใช้สำลีชุบน้ำทาทั่วบริเวณหางตาหรือ

ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก โดยควรทาทุกวันก่อนนอน เป็นต้น

และยังสามารถนำมาดัดแปลง โดยสกัดสารจากใบบัวบกมาผลิตเป็น สบู่ใบบัวบก ช่วยยับยั้งแบตทีเรีย รักษาสิว ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ผิวหน้าเต่งตึง

ประโยชน์ ทางด้านการรักษาโรค จากการใช้ใบบัวบก เช่น

1. ช่วยรักษาอาการตาอักเสบบวมแดง ด้วยการใช้ใบบัวบกล้างน้ำสะอาด คั้นเอาแต่น้ำนำมาหยดที่ตา 3-4 ครั้งต่อวัน

2. ช่วยบำรุงประสาทและสมองเหมือน ใบแปะก๊วย

3. ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และทำให้มีปฏิภาณไหวพริบเพิ่มมากขึ้น และ ช่วยเพิ่มความจำในผู้สูงอายุ ยังเชื่อว่าใบบัวบกมีส่วนช่วยเพิ่มไอคิว ความฉลาด

และความสามารถในการเรียนรู้

4. สามารถชะลออาการของโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง หรือโรคอัลไซเมอร์ หรืออาการหลงลืมระยะสั้นได้ ช่วยเพิ่มสมาธิ แก้สมาธิสั้น

และเพิ่มความสามารถในการจัดสินใจเฉพาะหน้า

5. แก้อาการปวดศีรษะ ปวดศีรษะข้างเดียว และช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ และผ่อนคลายความเครียด สามารถใช้เป็นบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย

บำรุงโลหิตในร่างกาย บำรุงหัวใจ และยังช่วยฟื้นฟูสุขภาพจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ

6. ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงเสียงช่วยรักษาอาการเจ็บคอ ด้วยการใช้บัวบกสดประมาณ 1 กำมือ นำมาตำคั้นเอาน้ำแล้วเติมน้ำส้มสายชู 1-3 ช้อนแกง

แล้วจิบกินบ่อยๆช่วยแก้กระหายน้ำช่วยแก้อาการร้อนใน ตัวร้อน

7. ใบบัวบกมีสารยับยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยต่อต้านโรคมะเร็ง

8. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดี

9. ช่วยรักษาโรคดีซ่านจากภาวะร้อนชื้น ด้วยการใช้บัวบก 30 กรัม น้ำตาลทรายกรวด 30 กรัม ต้มน้ำดื่ม ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง

10. ช่วยรักษาอาหารหืด ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้ต้นสด 1 กำมือต้มกับน้ำแล้วนำมาดื่ม

หรือจะใช้บัวบกสดๆทั้งต้นประมาณ 30 กรัมนำมาค้น เอาน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อยแล้วดื่มกินประมาณ 5-7 วัน

11. ช่วยรักษาโรคลมชักและช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ

12. ช่วยรักษาอาการเต้านมอักเสบเป็นหนองในระยะแรก ด้วยการใช้บัวบกและเปลือกของลูกหมาก 1 ผล นำมาต้มกับเหล้าดื่ม เป็นต้น

อาหาร ง่าย ๆ กับ เมนู ใบบัวบก เช่น ไข่เจียวใบบัวบก , ยำปลาทูน่า กับ ใบบัวบก , น้ำใบบัวบก , ยำทะเลใบบัวบก , ใบบัวบกกับน้ำพริก ต่างๆ เป็นต้น

คำเตือนและคำแนะนำ สรรพคุณของใบบัวบกการรับประทานใบบัวบกคุณควรพิจารณาพื้นฐานของร่างกาย อย่ามองแต่สรรพคุณเพียงอย่างเดียว

1. บัวบกไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะเย็นพร่อง หรือขี้หนาว ท้องอืดบ่อยๆ การรับประทานบัวบกในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ธาตุในร่างกายเสียสมดุลได้

เพราะเป็น ยาเย็นจัด แต่ถ้ารับประทานในขนาดที่พอดีแล้วจะไม่มีโทษต่อร่างกายและได้ ประโยชน์สูงสุด

2. การดื่มน้ำบัวบกติดต่อกันทุกวันให้ดื่มแค่วันละประมาณ 50 มิลลิลิตร การกินเพื่อเป็นยาบำรุง ต้องกินตามขนาดที่ระบุไว้ ถ้ากินใบบัวบกสดๆ

ในปริมาณน้อย เช่น วันละ 2-3 ใบทุกวัน ก็ไม่เป็นอะไร หรือจะกินน้ำคั้นบัวบกแก้ช้ำในหรือร้อนใน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ก็ได้

3. ถ้ากินเป็นผัก จิ้มครั้งละ 10-20 ใบ ต่อสัปดาห์ไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินติดต่อกัน 10 วันอาจจะเป็นพิษกับร่างกายได้

4. การเก็บใบบักบกอย่าเก็บมาเฉพาะใบ เพราะจะทำให้ได้ตัวยาสมุนไพรมาไม่ครบ ให้ถอนมาทั้งต้นและราก เพราะในส่วนของรากจะมีตัวยาสมุนไพรอยู่ด้วย

5. ไม่ควรนำใบบักบกไปตากแดด เพื่อทำให้แห้ง เพราะจะทำให้สูญเสียตัวยาสมุนไพรซึ่งอยู่ในน้ำมันหอมระเหยได้ โดยให้ผึ่งลมตากไว้ในที่ร่มอากาศ

ถ่ายเทสะดวก เมื่อแห้งแล้ว ให้นำมาใส่ขวดปิดฝาให้สนิทป้องกันความชื้น


เครดิต ข้อมูลบางส่วนจาก greenerald.com, ภาพประกอบจาก news.8888.in.th




ยาสำหรับการเดินทาง

ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไม่ว่าจะเพื่อการไปประกอบภารกิจ เช่น ประชุมหรือสัมมนา รวมถึงการเดินทางเพื่อไปเที่ยวพักผ่อน นอกจากเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอื่นๆแล้ว ยาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทุกท่านจะต้องเตรียมติดตัวไปเพื่อความอุ่นใจ หากเกิดการเจ็บป่วยระหว่างเดินทางจะมียาใช้ได้เองก่อนไปโรงพยาบาล

หลักการง่ายๆ คือ 
  1. เตรียมยารักษาโรคประจำตัว เช่น เป็นเบาหวาน ก็นำยาเบาหวานที่ใช้อยู่เป็นประจำไปด้วย
  2. เตรียมยารักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่พบได้บ่อยๆขณะเดินทาง เช่น ปวดศีรษะ แพ้อากาศ จาม น้ำมูกไหล ท้องเสีย ผื่นแพ้คัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น
กรณีที่ไม่มีโรคประจำตัวใดๆยิ่งง่ายใหญ่ เพียงจัดเตรียมยาที่รักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเป็นได้บ่อยๆ เช่น เมารถเมาเรือ แมลงสัตว์กัดต่อย บาดแผลทั่วไป แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ซึ่งยาดังกล่าวที่จริงแล้วก็คือยาสามัญประจำบ้านนั่นเอง เพียงแต่ท่านนำออกจากบ้าน  พกพาติดตัวไปด้วยในระหว่างเดินทาง

ยาแก้ปวด ลดไข้

ยาที่ใช้แก้ปวดลดไข้ที่ท่านควรมีติดตัวในการเดินทางมีชื่อว่า พาราเซตามอล นอกจากบรรเทาอาการปวดศีรษะมีไข้ ท่านยังสามารถใช้บรรเทาปวดข้อเข่าที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อม ยานี้แม้จะถูกมองว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยและหาซื้อได้ง่ายทั่วไป แต่หากใช้มากไปก็เกิดอันตรายได้
ขนาดยาสูงสุดต่อวันคือไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม ดังนั้นท่านรับประทานยาพาราเซตามอลเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ท่านไม่ควรรับประทานเกิน 8 เม็ดต่อวัน ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลนานติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตับได้
ยาพาราเซตามอลที่มีจำหน่ายนอกจากจะเป็นยาเม็ดที่มีตัวยาเพียงตัวเดียวแล้ว ยังอาจพบในยาเม็ดสูตรผสมได้ เช่น ยาสูตรผสมที่รับประทานแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ ยาสูตรผสมที่รับประทานแก้หวัดคัดจมูก จึงควรระวังการรับประทานยาพาราเซตามอลร่วมกับยาอื่นที่มียาพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้ได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาดยาสูงสุด

ยาแก้แพ้อากาศ จาม น้ำมูกไหล

ยาที่นิยมใช้มากคือยาลดน้ำมูกแก้แพ้อากาศที่มีชื่อว่า คลอร์เฟนิรามีน ยานี้มีสรรพคุณใช้ได้ทั้งบรรเทาอาการแพ้อากาศ จาม ลดน้ำมูก รวมไปถึงอาการผื่นแพ้คัน ลมพิษ ข้อเสียของยานี้คือการเกิดอาการง่วงซึม ปากคอแห้ง จึงไม่ควรขับรถหลังรับประทานยานี้
ในปัจจุบันมีความนิยมใช้ยาแก้แพ้อากาศที่ไม่มีฤทธิ์ในการทำให้เกิดอาการง่วงซึมเข้ามาแทนที่ยารุ่นเดิม เช่น ลอราทาดีน 
(loratadine) เซทิริซิน (cetirizine) ฟีโซฟีนาดีน (fexofenadine) ยาในกลุ่มนี้แม้จะมีข้อดีในการทำให้ไม่เกิดอาการง่วงซึม รับประทานยาเพียงวันละครั้ง แต่เห็นผลช้ากว่ายารุ่นเก่าที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึม

ยาแก้เมารถเมาเรือ

ผู้ที่มีปัญหาเมารถเมาเรือทำให้เกิดอาการวิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียนขณะเดินทาง อาจใช้ยาที่ชื่อว่า ไดแมนไฮดริเนท (dimenhydrinate) ยานี้ต้องรับประทานก่อนออกเดินทางประมาณ 30 นาที และหากการเดินทางใช้ระยะเวลานานอาจจำเป็นต้องรับประทานยานี้ซ้ำทุก 6-8 ชั่วโมง ข้อเสียของยานี้คืออาการง่วงซึม ปากคอแห้ง หากรับประทานร่วมกับยาแก้แพ้ลดน้ำมูก อาจเสริมฤทธิ์ทำให้เกิดอาการข้างเคียงเพิ่มสูงขึ้นได้

ยาแก้ท้องเสีย

ยาแก้ท้องเสียที่ควรติดตัวไว้ขณะเดินทางคือ ผงน้ำตาลเกลือแร่ ซึ่งสิ่งที่ต้องเข้าใจในการใช้คือการพิจารณาที่ซองว่าบรรจุว่าผสมน้ำขนาดเท่าไร ที่สำคัญวิธีใช้ผงเกลือแร่ที่ถูกต้องคือค่อยๆจิบทีละน้อย มิใช่การดื่มหมดแก้วในครั้งเดียว
ยาอีกประเภทที่ควรติดไว้ขณะเดินทางคือผงถ่านคาร์บอนอาจอยู่ในรูปแบบเม็ด หรือแคปซูลก็ได้ ยานี้ควรรับประทานตอนท้องว่างห่างจากอาหารและยาอื่นๆประมาณ 1-2 ชั่วโมง ผงถ่านคาร์บอนจะช่วยดูดซับพิษที่ทำให้ท้องเสีย ดูดซับแก๊ส ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้

ยาแก้ผื่นแพ้คัน แมลงสัตว์กัดต่อย

นอกจากใช้ยาเม็ดแก้แพ้ชนิดรับประทานคลอร์เฟนิรามีน หรือลอราทาดีน ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น อาจเตรียมยาทาแก้แพ้แก้คัน เช่น คาลาไมน์โลชั่น หรือยาทาแก้แพ้ที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ซึ่งบรรเทาอาการแพ้คันทั่วไป ส่วนยาทาแก้แพ้ที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบจะออกฤกธิ์ได้ดีและแรงกว่า แต่ก็ควรใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการก่อนไปโรงพยาบาล

ยาทาบาดแผล แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

อาจเตรียมชุดทำแผลขนาดเล็ก ยาทาแผลสด ได้แก่ โพวิโดน ไอโอดีน ไว้ทาบาดแผลทั่วไป ส่วนกรณีของแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ยาที่ปลอดภัยคือเจลหว่านหางจระเข้ที่ออกฤทธิ์ช่วยสมานผิว ลดอาการแสบร้อนระคายเคือง

นอกเหนือจากยาสามัญประจำบ้านแล้วจะใช้อะไรเป็นแนวทางกำหนดในการเตรียมยาสำหรับเดินทางได้อีก

นอกจากยารักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไปแล้ว อาจพิจารณารายการยาอื่นๆตามความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศหรือภูมิประเทศในการเดินทางด้วย เช่น หากเป็นช่วงหน้าฝนอาจเน้นเตรียมยารักษาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล หากต้องการเดินทางไปยังบริเวณที่คาดว่าอาจต้องรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ควรติดยารักษาอาการท้องเสียเพิ่มมากขึ้น หากต้องเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเป็นป่าเขามียุงหรือแมลงเป็นจำนวนมาก อาจติดยาทากันยุงเพิ่มเติมเข้าไปด้วย

หากมีโรคประจำตัวจะเตรียมยารักษาโรคประจำตัวไปเพียงใดถึงจะเพียงพอ

ถ้าท่านมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหืด ควรเตรียมยารักษาโรคประจำตัวเหล่านั้นไปให้พร้อมโดยเตรียมยาเผื่อไว้มากกว่ากำหนดการเดินทางจริงประมาณ 2-3 วัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่สามารถเดินทางกลับได้ตามที่กำหนดจะได้มียาเหลือไว้ใช้
ในกรณีที่ท่านเป็นโรคเบาหวานและจำเป็นต้องได้รับยาฉีดอินซูลิน ท่านสามารถนำยาอินซูลินไปด้วย โดยระหว่างเดินทางท่านควรนำยาใส่กระติกที่บรรจุน้ำแข็งซึ่งสามารถเก็บอุณหภูมิได้ เมื่อถึงที่พักจึงเก็บยาอินซูลินเข้าตู้เย็น แต่หากไม่มีตู้เย็นก็ไม่เป็นไร เพราะยาฉีดอินซูลินสามารถอยู่ในอุณหภูมิห้องได้เป็นเวลา 30 วัน อย่างไรก็ตามห้องนั้นต้องไม่ร้อนมากหรือต้องไม่โดนแดด และไม่ควรเก็บยาอินซูลินรวมถึงยาอื่นๆภายในรถที่จอดตากแดดเป็นเวลานาน หรือเก็บไว้หลังรถ เนื่องจากอินซูลินจะเสียได้
ในกรณีที่มีโรคประจำตัวควรเก็บยาไว้กับตัวจะเป็นการดีที่สุดเพื่อให้สามารถหยิบใช้ได้ทันท่วงที เช่น กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย ควรมียาอมใต้ลิ้นไว้ใช้เมื่อมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
กรณีเดินทางไปต่างประเทศควรศึกษาระเบียบของประเทศที่จะต้องเดินทางไปว่าสามารถนำยาติดตัวไปได้เพียงไรถึงจะไม่ผิดกฎเกณฑ์ของประเทศนั้นๆ
การเตรียมยาสำหรับการเดินทางควรพิจารณาถึงความจำเป็นและโรคประจำตัวของผู้ที่เดินตามแนวทางที่กล่าวไว้ข้างต้น การนำยาติดตัวไปด้วยนั้นควรพิจารณารายการยาและจำนวนให้เหมาะสมสอดคล้องกับจำนวนสมาชิกผู้เดินทางและระยะเวลาในการเดินทาง หากท่านเตรียมตัวได้เช่นนี้แล้ว การเดินทางของท่านคงสบายใจได้หากมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเกิดขึ้นขณะเดินทาง

ข้อมูลจาก HealtToday ฉบับที่ 150 เดือนตุลาคม 2556 หน้าที่ 80-82 เขียนโดย ภก.จตุพร ทองอิ่ม

ชั่วโมงเร่งรีบเข้าใจอยู่ว่าแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็มีค่ายิ่งกับคุณผู้หญิงทำงานด้วยแล้ว แต่ละนาทีทำอะไรได้หลายอย่างมากมาย แต่รู้หรือเปล่าว่าการละเลยอาหารเช้า ดื่มกาแฟเพียงถ้วยเดียวแล้วอยู่ยาวไปจนเที่ยง อาจจะทำร้ายร่างกายคุณได้มากกว่าที่คิด

ประโยชน์อาหารเช้า...

  • สมองจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ค่ะแล้วคิดดูว่าตลอดทั้งคืนกว่า 8 ชั่วโมงบวกกับเวลาเร่งรีบในยามเช้า ความกดดันความเครียดจากการทำงานไปจนถึงเที่ยง สมองที่ถูกบีบเค้นให้ใช้งานและเรียกร้องความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลานั้น การที่สมองไม่ได้รับสารอาหารใดๆเลยนั้น การกระทำแบบนี้อาจจะทำให้สมองฝ่อไปโดยไม่รู้ตัวได้ค่ะ
  • ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ หลายโปรแกรมยอมรับแล้วว่ามื้อเช้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้ (แต่ควรลดมื้อเย็นหลัง 6 โมงด้วยนะคะ)
  • ช่วยทำให้อารมณ์โมโหหงุดหงิดลดลง เพราะไม่แน่ว่าการที่คุณหงุดหงิด เหวี่ยงใส่ลูกน้องแต่เช้า ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ร่างกายกำลังหิวจนเครียดโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็เป็นได้

รู้ทั้งรู้ว่ามื้อเช้าสำคัญก็ยังยอมจำนนกับชั่วโมงเร่งรีบ ไม่มีเวลา กินไม่ทัน เราจึงเตรียมเมนูมื้อเช้าง่ายๆที่รู้อยู่แล้วแต่อาจนึกไม่ออก

1 สัปดาห์กับมื้อเช้าคุณภาพ

วันจันทร์ ขนมปังปิ้ง(โฮลวีต)+แยมผลไม้(หวานน้อย) ขนมปังปิ้งหรือไม่ปิ้งก็ได้กินกับแยมผลไม้ น้ำผึ้ง เนยถั่ว หรือทำเป็นแซนด์วิช เพิ่มมายองเนสหรือตับบด อย่างน้อยมื้อเช้าก็ได้คาร์โบไฮเดรตเพิ่มพลังงาน ส่วนน้ำผึ้งมีสารแอนติออกซิแดนซ์ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ตามด้วยนมอุ่นๆผสมน้ำผึ้งสักแก้วก็ถือว่าวอร์มร่างกายก่อนรับความยุ่งเหยิงในแต่ละวันได้ดี


วันอังคาร โยเกิร์ต หรือนมอุ่นผสมโกโก้+ขนมปัง จากที่ตื่นมาแล้วชงกาแฟก็เปลี่ยนมาเป็นนมอุ่นๆผสมโกโก้ นมช่วยเสริมแคลเซียมและเพิ่มโปรตีนให้ร่างกาย หรือโยเกิร์ตผสมผลไม้ เช่น ส้ม สับปะรด ถั่วแดง ลูกเดือย ปิดท้ายด้วยขนมปังไส้หมูหยอง โยเกิร์ตจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายเมื่อระบบขับถ่ายดีก็ช่วยให้ผิวสวยด้วย



วันพุธ ผลไม้สดหรือน้ำผลไม้ ไม่รักใคร่คาร์โบไฮเดรตไม่เป็นไรค่ะ เลือกผลไม้ที่ชอบและอุดมวิตามินติดตู้เย็นไว้ ส้มที่ให้ทั้งไฟเบอร์และวิตามินซี หรือแอปเปิ้ลที่มีสารช่วยต้านมะเร็ง ส่วนกล้วยมีสรรพคุณช่วยบรรเทาโรคกระเพาะอาหารที่แทบจะเป็นโรคประจำตัวของคนทำงาน ตามต่อด้วยน้ำผลไม้ 1 แก้ว (เลือกที่น้ำตาลน้อย) ถ้ายังไม่อิ่มก็ตามด้วยขนมปังไปอีกสองชิ้น คาร์โบไฮเดรตจะทำให้มีพลังงานมากขึ้น



วันพฤหัสบดี ซีเรียลผสมนมสด นมเปรี้ยว หรือน้ำผลไม้ เติมผลไม้สดหรือเมล็ดผลไม้แห้งที่ชอบ เช่น เมล็ดทานตะวันที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยให้ผิวสวยและชุ่มชื้น ส่วนลูกเกดที่มีผลการทดลองจากมหาวิทยาลัยอิลลินอย ชิคาโก พบว่าลูกเกดช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก บางสายพันธุ์ทำให้เกิดโรคในช่องปาก หรือวันไหนเบื่อก็เปลี่ยนเป็นลูกเดือย ข้าวโพด หรือผลไม้สดบ้างก็ได้



วันศุกร์ ข้าวโอ๊ตหรือโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป เปลี่ยนจากมื้อเช้าจืดๆมาเติมรสชาติของคาวกันบ้าง ด้วยโจ๊กใช้เวลาปรุงแค่เติมน้ำร้อน 3-5 นาที เติมผักสด ไข่ต้อม หรือไข่ลวก ชอบเผ็ดก็เติมพริกป่น หรือพริกไทยลงไปด้วยก็ได้ ใส่หมูหยอง หมูยอลวก ก็เป็นการเพิ่มโปรตีนได้ง่ายๆ

ส่วนเสาร์ อาทิตย์ไม่ต้องไปทำงาน อย่าลืมที่จะเลือกมื้อเช้าที่มีคุณภาพให้ได้อร่อยกันทั้งบ้าน


ข้อมูลจาก : นิตยสาร Well ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2556 หน้า 45-46 เรื่องโดย มอลลี่